The develop of recording studio business in Chonburi Province

Abstract

In this research study, the objective is to analyze problems and obstacles in the service and operation of the recording room business, to study the demand for voice recording services of the service users in Chonburi Province. And to create guidelines for business development of the recording room in the Chonburi Province area using the quantative mixed method research. The qualitatively data is derived from the interview with 4 owners of the recording room business and the quantitative data is from the distribution of questionnaires to the voice recording rooms users and those 400 who requires voice recording services. The researcher used frequency distribution, percentage, mean, standard deviation and analysis of factors affecting the decision to use the recording room in Chonburi Province with factor analysis to analyse data and statistics.

The research found that the obstacles encountered by the recording room businesses in Chonburi Province is the misunderstanding in the nature of work provided by the service provider and the service user. For example, users understand that the recording room provides services from the beginning of the recording until the song is complete, but in reality in the recording room business there are separated into services making Demo, Recording, Mixing, Mastering and receiving the work piece including the environment and facilities within the recording room for service users.

The findings mentioned above has led to create a business development strategy for the recording room in Chonburi Province. The ARTS strategy consists of A (Accommodate Area) stands for the preparedness and the availability of the facility, R (Ready for Service) stands for being readiness for service, T (Technology & Privacy) stands for the advancement in technology and the privacy, and S (Staff Excellent) stands for a service provider with expertise.

ในการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการให้บริการและดำเนินการของธุรกิจห้องบันทึกเสียง เพื่อศึกษาความต้องการใช้บริการห้องบันทึกเสียงของกลุ่มผู้ใช้บริการ ในจังหวัดชลบุรี และเพื่อสร้างแนวทางการพัฒนาธุรกิจของห้องบันทึกเสียง ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยเชิงคุณภาพนั้นได้มาจากการสัมภาษณ์เจ้าของธุรกิจห้องบันทึกเสียง จำนวน 4 ราย ส่วนข้อมูลเชิงปริมาณนั้นได้มาจากการแจกแบบสอบถามให้กับผู้ใช้บริการห้องบันทึกเสียงและผู้มีความต้องการใช้บริการห้องบันทึกเสียง จำนวน 400 ราย สําหรับการวิเคราะห์ข้อมูลและสถิตินั้นผู้วิจัยได้ใช้การแจกแจงความถี่ (Frequencies Distribution) ค่าร้อยละ(Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และทําการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการห้องบันทึกเสียง ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ด้วยสถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analysis)

ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาและอุปสรรคที่พบจากการดำเนินธุรกิจห้องบันทึกเสียง ในจังหวัดชลบุรี คือ ปัญหาในเรื่องความเข้าใจในเรื่องของการทำงานของผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการที่ไม่ตรงกัน เช่น ผู้ใช้บริการจะมีความเข้าใจว่าการเข้าใช้บริการห้องบันทึกเสียง คือ การเข้าไปใช้บริการตั้งแต่เริ่มบันทึกเสียงจนเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นเพลง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น ในธุรกิจห้องบันทึกเสียง มีการแยกการให้บริการออกเป็น การบันทึกเสียงเป็นตัวอย่างก่อนการบันทึกเสียงจริง (การทำ Demo) , การบันทึกเสียง , การแก้ไข/ตัดต่อ (Mixing) , การควบคุมจัดการความถี่ และความดังของเพลงนั้นๆ ให้อยู่ในระดับความถี่ที่ถูกต้อง (Mastering) และ ในการนัดรับชิ้นงานรวมถึงสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องบันทึกเสียงให้กับผู้ใช้บริการ

จากผลการวิจัยที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ได้นำไปสร้างกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจห้องบันทึกเสียงในจังหวัดชลบุรี คือ กลยุทธ์ ARTS ซึ่งประกอบไปด้วย A (Accommodate Area) หมายถึง ความพร้อมของสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก R (Ready for Service) หมายถึง ความพร้อมในการให้บริการ T (Technology & Privacy) หมายถึง เทคโนโลยีและความเป็นส่วนตัว S (Staff Excellent) หมายถึง ผู้ให้บริการมีความเชี่ยวชาญ