Please use this identifier to cite or link to this item:
http://ithesis-ir.su.ac.th/dspace/handle/123456789/631
Full metadata record
DC Field | Value | Language |
---|---|---|
dc.contributor.author | ศุภมานพ, กีรติ | - |
dc.contributor.author | Supamanop, Keerati | - |
dc.date.accessioned | 2017-08-31T02:23:09Z | - |
dc.date.available | 2017-08-31T02:23:09Z | - |
dc.date.issued | 2559-08-02 | - |
dc.identifier.uri | http://ithesis-ir.su.ac.th/dspace/handle/123456789/631 | - |
dc.description | 54107203 ; สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ -- กีรติ ศุภมานพ | en_US |
dc.description.abstract | การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาที่มาและรูปแบบเฉพาะของการประดับพรหมพักตร์ โดยทำการศึกษาวิเคราะห์หลักฐานด้านเอกสารร่วมกับหลักฐานงานศิลปกรรม เพื่อนำไปสู่การกำหนดอายุและทำความเข้าใจเกี่ยวกับคติความหมายที่แฝงอยู่ในการนำเอาพรหมพักตร์มาเป็นองค์ประกอบในงานศิลปกรรมไทย ในการวิจัยสามารถสรุปผลได้ดังนี้ 1. พรหมพักตร์ที่หมายถึงการทำหน้าบุคคลสี่หน้าในงานศิลปกรรมไทย เกิดจากความเข้าใจว่าองค์ประกอบดังกล่าวคือใบหน้าของพระพรหม ซึ่งมีที่มาทางด้านรูปแบบจากศิลปะเขมรสมัยบายน โดยยังคงนำมาประดับที่ส่วนยอดของงานศิลปกรรมเช่นเดียวกับต้นแบบ 2. การประดับพรหมพักตร์ในงานศิลปกรรมไทยแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือหนึ่งพรหมพักตร์ที่ประดับในงานศิลปกรรมร่วมกับยอดแบบปรางค์ แสดงให้เห็นถึงการสืบทอดระเบียบตามอย่างศิลปะเขมรสมัยบายน และสองพรหมพักตร์ที่ประดับในงานศิลปกรรมร่วมกับยอดแบบเจดีย์ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่เกิดจากการประยุกต์ของช่างผู้สร้าง 3. พรหมพักตร์ถือเป็นองค์ประกอบที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงความหมายเพื่อให้สอดคล้องไปกับหน้าที่การใช้งาน ดังนั้นพรหมพักตร์ที่ปรากฏในแต่ละชิ้นงานจึงอาจมีความหมายแตกต่างกันไปทั้งนี้ความหมายดังกล่าวคงถูกกำหนดโดยช่างผู้ออกแบบ และถูกตีความหรือทำความเข้าใจอีกทีหนึ่งโดยผู้ที่พบเห็น เช่น พรหมพักตร์ที่ประดับในงานศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์มีหน้าที่แสดงถึงฐานันดรศักดิ์ ขณะที่พรหมพักตร์ในงานศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามีหน้าที่หรือความหมายที่แสดงถึงสวรรค์ชั้นพรหมหรือพระพรหม The objective of this research is to study the origin and the characteristics of four-faced deity by analyzing the literary evidence along with the art objects in order to date and to comprehend the underlying concepts of four-faced deity in Thai art and architecture. The results of the study are as follows : 1. Four-faced deity in Thai art can generally be understood as Brahma’s faces, which was influenced by Khmer art, Bayon style. 2. The patterns of four-faced deity in Thai art can be categorised into two types. The first type is four-faced deity decorated on the upper part of towers (Prang), which was influenced by Khmer art, Bayon style. The second type is four-faced deity decorated on the spire of stupas, which was adapted from the original and reconstructed by Thai artisans. 3. Four-faced deity was used as a symbol which corresponded to its function. Each of them, therefore, might have different meanings, depending on the artisans themselves and can be interpreted in many different ways. For instance, four-faced deity in monarchical art represents ranks of nobility, whereas four-faced deity in Buddhist art represents Brahma or Brahma’s heaven. | en_US |
dc.publisher | มหาวิทยาลัยศิลปากร | en_US |
dc.subject | พรหมพักตร์ | en_US |
dc.subject | พรหมสี่หน้า | en_US |
dc.subject | FOUR-FACED DEITY | en_US |
dc.subject | FOUR-FACED BRAHMA | en_US |
dc.title | พรหมพักตร์ในงานศิลปกรรมไทย | en_US |
dc.title.alternative | FOUR - FACED DEITY IN THAI ART AND ARCHITECTURE | en_US |
dc.type | Thesis | en_US |
Appears in Collections: | Archaeology |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
54107203 กีรติ ศุภมานพ.pdf | 6.96 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.